เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ พ.ย. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรมะเนาะ เราฟังธรรมๆ พวกเรามาแสวงหาสัจธรรม วันนี้แสวงหาสัจธรรม เราพูดบ่อยนะ จิตใจของคนต้องมีระดับ มันต้องสูงส่งขึ้นมามันถึงจะเข้าถึงสัจธรรมได้ จิตใจของคนมันหยาบ พอหยาบปั๊บ มันก็อยู่ที่วัตถุนั่นน่ะ พอมาถึงวัตถุ โลกธรรม ๘ ไง โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ อยากได้ลาภสักการะ ได้ผลตอบแทนอย่างนั้น ถ้าได้ผลตอบแทนอย่างนั้น จิตใจเราต่ำอย่างนั้นเลยหรือ

จิตใจเราต้องละเอียดลึกซึ้ง สิ่งที่เรามา ดูสิ เรามาเสียสละทานกัน สิ่งนี้มันก็เป็นวัตถุที่เราเสียสละออกไปแล้ว สิ่งที่มันจะได้ผลตอบแทนมา เรามีน้ำใจต่อกันนะ เรามาวัดมาวา ทุกคนมันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย เวลาปัจจัยเครื่องอาศัย เวลาเขาพูดว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเขาจะไปฟังธรรม ทุคตะเข็ญใจมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่ากินข้าวก่อน ให้อิ่มหนำสำราญก่อน แล้วท่านถึงจะเทศนาว่าการ

พระจะอ้างกันตรงนี้ อ้างว่าเขาต้องอิ่มหนำสำราญก่อน ให้เขาอยู่สุขสบายแล้วจะเทศน์ให้เขาฟัง ถ้าหิวกระหายมามันจะเทศน์ไม่ได้

มันก็จริง มันก็จริงส่วนหนึ่ง แต่ถ้ามันสุขมันสบาย มันสุขสบายมันเป็นหมูนอนจมอยู่นั่นเลย มันก็ไม่พัฒนาขึ้นมาทั้งนั้นน่ะ เราไม่ใช่หมูนะ เราเป็นคนใช่ไหม เราก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย เขามีโรงทานมาเพื่อน้ำใจของเขา เวลาน้ำใจของเขา เพื่อปัจจัยเครื่องอาศัย คนมันต้องมีอาหารน่ะ ธาตุ ๔ ทางวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์บอกแล้ว ร่างกายนี้มันต้องการอาหาร ถ้ามันขาดสารอาหารขึ้นไป ชีวิตอยู่ไม่ได้ไง ปัจจัย ๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ขาดแคลนหรอก ทีนี้การไม่ให้ขาดแคลน แต่อย่าให้มันเป็นเหตุ คำว่า “เป็นเหตุ” ไง โลภมาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง สิ่งนั้นมันเป็นเหตุไปกระตุ้น กระตุ้นก็กระตุ้นกิเลสในใจของตนไง ถ้ามันกระตุ้นกิเลสในใจของตน สิ่งนั้นมันจะมาเพื่อดำรงชีพ มันก็ไปกระตุ้นกิเลส

นี่ไง บอกว่ามนุษย์มีกายกับใจๆ สิ่งที่เวลามันเป็นเรื่องของร่างกาย ร่างกายมันเป็นมนุษย์สมบัติใช่ไหม เพราะมนุษย์สมบัติ เราถึงได้จุติมาเกิดเป็นมนุษย์ มันเพราะบุญกุศลมันถึงได้ร่างกายนี้มา แล้วร่างกายนี้ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องปรินิพพานไป ต้องทิ้งร่างกายนี้ไว้ พระอรหันต์ก็ต้องทิ้งร่างกายนี้ไว้ ร่างกายนี้เราต้องทิ้งไปกับโลกนี้ไง แต่จิตใจของเรามันจะสูงจะส่งหรือมันจะต่ำมันจะต้อย มันอยู่ที่การฝึกฝนของเรานี่ไง ถ้ามาบวช ธรรมะเขาสอนที่นี่ ธรรมะเขาสอนที่นี่ ฉะนั้น เวลาไปวัดไปวาเขาไปวัดใจของตนๆ

วัดดูสิ ที่ว่าวัดปฏิบัติ ถ้าวัดปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านปฏิบัติ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านหาที่สงบสงัดของท่าน เวลาคนจะเข้าไปหาท่านยังต้องเคารพสถานที่ คำว่า “เคารพสถานที่” เดินไป เข้าไปนะ จะไม่ให้กระทบกระเทือนนะ คนจิตใจที่เขามีน้ำใจของเขา บางทีเขามาหาเรา เขามาเงียบๆ เลย เราถาม “โยมมาอย่างไรล่ะ”

“ขับรถมา”

“แล้วรถอยู่ไหนล่ะ”

“จอดไว้ข้างนอก ไม่กล้าเอาเข้ามา กลัวรบกวน”

เจออย่างนี้บ่อย เราเจออย่างนี้บ่อยๆ นะ เราชื่นชมน้ำใจเขา เขาเดินเข้ามา เขาจอดรถไว้ข้างนอกแล้วเขาเดินเข้ามา เขาบอกไม่อยากรบกวน นี่ไง เขาเคารพสถานที่ของเขาไง มันก็มีบางคนเวลาเข้ามาเหมือนวัดนี้เป็นสนามแรลลี่เลย มันขับวนอยู่นั่นน่ะ วัดอะไร ไม่เห็นพระสักองค์ วัดอะไรไม่มีใครมาต้อนรับ วัดอะไรทำไมปล่อยปละละเลย วัดอะไร

เขายืนดูมึงอยู่นี่ มึงขับแรลลี่อยู่ในวัด เขาก็เห็นน่ะ จิตใจของคนเวลามันต่ำ มันคิดว่ามันใหญ่โตนัก มันมีความสำคัญนัก มันคิดไป วัดต้องไปวัดแบบโลก วัด เขาเรียกระดับของทาน มันเป็นตลาดนัด เดี๋ยวนี้วัดทุกวัดจะมีตลาดนัด มันเป็นตลาดนัด แล้วพอไปตลาดนัดแล้วมันก็ชอบใจของมัน นั่นระดับของทาน แล้วเอ็งไม่พัฒนาระดับของศีล ระดับของปัญญาบ้างเลยหรือ ศาสนา แก่นของศาสนามันอยู่ที่ไหนล่ะ นี่ไง ถ้าแก่นของศาสนามันมีของมันอยู่ มันต้องพัฒนาของมันขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน วัดของเรา เรามีครูมีอาจารย์ของเรา เราพูดบ่อย เมื่อก่อนนั้นเขามาติเตียนเรา เราบอกลูกเสือเว้ย ลูกเสือมันออกจากถ้ำเสือมันก็ต้องมีลายเสือ นี่ก็เหมือนกัน เรามีครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมา

หลวงตาท่านพูดบ่อย ลูกศิษย์เราภาคใต้เยอะแยะไปหมดเลย แมงเอาไปกินหมด หายหมดเลย ไม่มีเหลือเลย ลูกศิษย์ลูกหาที่ฝึกไว้เยอะแยะไปหมดเลย แล้วออกไป แมงเอาไปกินหมด ไม่เหลือเลยๆ ไม่เหลือเลย มันอยู่ตรงไหนล่ะ ก็ไม่เหลือตรงข้อวัตรปฏิบัติ ไม่เหลือตรงหลักหัวใจนี่แหละ

แล้วถ้าเรามันลูกเสือเว้ย ลูกเสือมันลูกศิษย์มีครู ครูเขาสอนมาอย่างไร หลวงตาท่านพูดประจำ วัดของท่านเข้มงวดมากตอนเราไปอยู่สมัยนั้น ท่านบอกว่าท่านไม่เคยสนใจใครเลย เพราะอะไร เพราะท่านไม่ได้คิดขึ้นมาเอง ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นมา หลวงปู่มั่นพาทำมาก่อน ถ้าผิดมันต้องผิดมาตั้งแต่หลวงปู่มั่น นี่มันถูกต้องดีงามจนหลวงปู่มั่นท่านมีชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณขนาดนั้น

ถ้าเราไม่ได้คิดขึ้นมาเอง เราไม่ได้คิดขึ้นมาเองคือเราไม่ได้อยากดังอยากใหญ่ เราไม่ได้คิดการตลาดจุดขาย พระที่มันจะมีชื่อเสียงมันต้องมีจุดขายของมัน คิดหาจุดขายมาขายกับโลก แต่นี่มันไม่ใช่ เราไม่ได้คิดเอง ข้อวัตรปฏิบัตินี้มันมีมาตั้ง ๒,๐๐๐ กว่าปีอยู่แล้ว แต่ของพวกเรา วุฒิภาวะ ไม่มีบุญบารมี ทำไม่ถึง ทำไม่ได้ ไม่มีความสามารถ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมาเป็นพระอรหันต์ไปหมดแล้ว ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงเป็นจังของท่าน ท่านทำของท่านขึ้นมา มันจะทุกข์มันจะยาก มันทุกข์ยากเพราะจะเผากิเลส ย่างกิเลสให้มันทุกข์มันยาก ไม่ใช่ทุกข์ยากเพราะเรามันทุกข์ยาก คนที่มีสติปัญญาเวลามันทุกข์ยาก มันทุกข์ยาก มันพอใจที่จะปฏิบัติ

เราไม่ใช่เราทุกข์ยาก กิเลสมันอยากได้อยากดีอยากใหญ่ขึ้นมา เราขีดจำกัดมัน เราขีดวงมัน เราจะจับมัน เราจะพิจารณามัน มันทุกข์ยากเพราะจะสู้กับกิเลส เพราะกิเลสมันต่อต้าน เพราะกิเลสมันพลิกแพลง เราจะต่อสู้กับมัน นี่ไง ถ้าคนมีวุฒิภาวะ มีอำนาจวาสนา มันจะต่อสู้กับมัน มันจะมีการกระทำของมันขึ้นมา นี่ไง ลูกเสือๆ มันต้องมีลายเสือ มันต้องมีลายของมัน มันไม่ใช่ลูกหมา ห่มหนังเสือ อยากจะเป็นเสือ แล้วเที่ยวโฆษณาชวนเชื่อไป มันเป็นไปไม่ได้หรอก หมามันก็คือหมานั่นน่ะ มันเป็นเสือไปไม่ได้

แต่ถ้ามันจะเป็นความจริงขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมา เราต้องมีการประพฤติปฏิบัติ ต้องมีการกระทำ แต่เราก็ยอมรับ ยอมรับเรื่องคุณงามความดี กลิ่นของศีลของธรรมมันหอมทวนลม ใครที่มาวัดนี้นะ ตั้งแต่สมัยอยู่วัดข้างในแล้ว ครูสมใจๆ เอ่ยชื่อเขาได้เลย เขามาวัดเรา เขาบอกเลย มาวัดหลวงพ่อแล้วสบายใจ ตั้งแต่มา หลวงพ่อไม่เคยขอสักสลึงหนึ่งเลย ไม่เคยขอแม้แต่สลึงเดียว เขามาวัดมาวาแล้วสบายใจนะ เขาบอกมาวัดเรานี่สบ๊ายสบาย ไม่ต้องตกใจว่าจะมีโครงการอะไรขึ้นมาให้เดือดร้อน เขาบอกเขาสบายใจมาก นี่เขาพูดเอง

วัดปฏิบัติมันเป็นอย่างนี้ มาแล้วมันสบายใจ มา มาแล้วไม่ต้อง ไม่ต้องหรอก สิ่งปัจจัยเครื่องอาศัย โยมมีน้ำใจมาทำทานของโยม นั่นเป็นสมบัติของโยมนะ เวลาบุญกุศลก็เป็นของโยมนะ หลวงตาท่านสอนประจำ พระเหมือนที่นา โยมนี้เป็นเหมือนเจ้าของนา เจ้าของนาทำไร่ไถนา เขาเก็บเกี่ยวข้าวเขาไป เราเป็นเนื้อนาบุญของโลกไง เนื้อนาบุญมันก็เหมือนดินไง เหมือนผืนนานั้นไง มันจะได้เศษข้าวนั่นน่ะ เศษฟางที่มันตกอยู่นั่นน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่โยมเห็น สิ่งที่โยมเอามาทำบุญกุศล มันเป็นเหมือนข้าว มันเป็นสิ่งมีประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ โยมเสียสละไป บุญกุศลนั้นเอาไป เวลาพระถ้ามันตื่นเต้นขึ้นมา เศษข้าวที่มันตกนะ ตกจากรวงข้าวถึงนา นาถึงได้ไง นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นวัตถุก็เป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นบุญกุศลมันอยู่ในหัวใจของโยม แล้วของพระล่ะ พระไปติดอย่างนี้หรือ พระไปติด นี่ไง จิตใจของคนหัวดำๆ เขายังมีจิตใจที่เสียสละสิ่งนี้ได้ ไอ้หัวโล้นๆ ว่าเป็นผู้เสียสละนะ ได้มาแล้วก็มากักตุน อย่างนี้ มันจะเป็นผู้ทรงศีลได้อย่างไร

ถ้ามันเป็นจริงๆ ถ้ามันมีจิตใจของมัน มันพัฒนาของมันขึ้นมามันก็เป็นของมันขึ้นมาใช่ไหม นี่เราบอกว่ากลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันหอมทวนลม หมายความว่า ทำคุณงามความดีๆ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กลิ่นมันขจรขจายไป คนมันก็มามากเป็นเรื่องธรรมดาของเขา ถ้าเรื่องธรรมดาของเขา เราจะป้องกันอย่างไรล่ะ เราจะป้องกันของเรา เราจะป้องกันไม่ให้มันมีสิ่งใดที่เข้ามาเป็นการทุจริต เข้ามาเป็นการทำให้มันเศร้าหมองไง ถ้ามันเศร้าหมอง

ทีนี้มันก็เข้าหาในหลวงแล้ว เราจะทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นคนดีไม่ได้ ทำให้คนทุกคนเป็นคนดีไม่ได้หรอก แต่มันต้องให้คนดี ให้คนดี คนมีข้อวัตรปฏิบัติ คนรู้จักเหตุจักผลเป็นผู้ควบคุมดูแลเขา เป็นผู้ควบคุมดูแลเขา

มันจะให้ทุกคนเป็นคนดีไม่ได้หรอก เขาเป็นเด็กนะ เป็นรากหญ้าใช่ไหม ชาวสวนชาวไร่ใช่ไหม มันก็ขาดแคลนใช่ไหม พอขาดแคลน มันเห็นสิ่งใดมันก็อยากเป็นธรรมดา มันเรื่องธรรมดานะ ถ้าเรื่องธรรมดา แต่ถ้ามันเรื่องธรรมดาแล้ว ถ้าฝึกฝนไว้มันก็อยู่ในมารยาท ควรได้สิ่งใดให้เสมอภาคกัน อย่าไปละเมิดสิทธิ์ของคนอื่น เพราะคนอื่นเขาควรได้ ของที่เราจัดไว้เป็นชุดๆ แจกไว้ทุกๆ คนใช่ไหม เราใช้สิทธิ์แล้ว เราได้รับไปแล้วเราก็ควรจะจบ

๒ รอบ ๓ รอบนี่มันเกินไป แล้วคำว่า “เกินไป” นะ เรายืนดูอยู่ เขาสนุกครึกครื้นของเขา เขาภูมิใจในการทำทุจริตของเขา เขาภูมิใจในการกระทำของเขาว่าเขามีความสามารถ เด็กน่ะ เด็กมันไม่รู้ เรายืนดูอยู่แล้วเศร้า โดยปฏิภาณมันก็รู้ได้ว่าเด็กคนนี้มันเคยได้รับแล้ว เสื้อผ้าเราก็เห็นอยู่ เดี๋ยวคนนี้ก็มาอีกแล้ว เดี๋ยวคนนี้ก็มาอีกแล้ว มันเห็นได้ไง แล้วเขาสนุกครึกครื้นของเขานะ เขาสนุกครึกครื้นของเขามาก เราก็ยืนดูอยู่ แต่เวลาพระพูดมันสะเทือนใจ

เรายืนดูอยู่ แต่เพราะว่าเมื่อวานวันกฐินใช่ไหม เราจะต้องขึ้นมาเทศน์ เราต้องขึ้นมาอบรมคนทั้งวัด ทั้งศาลาเต็มไปหมดเลย แล้วมันมีเหตุการณ์นั้นอยู่ เราก็ต้องดับไฟตรงนั้นให้จบ เราเป็นคนสั่งให้แจกๆๆ ไป

เวลาเขาบอกว่า “หยุดเถอะหลวงพ่อ มันเวียนเทียน”

บอกแจกให้หมด พอหมดแล้วเราคุยกับเขาเอง ให้มันจบตรงนั้น คือว่าไม่ให้มันวุ่นวายตรงนั้น เพราะเราต้องการความสงบ เพราะเราจะมาแสดงธรรม พอมาแสดงธรรม ก็เมื่อวานแสดงธรรมนั่นแหละ แล้วแสดงธรรมแล้วก็ยังมีเหตุการณ์ร้อยแปดไป แต่ร้อยแปดไป มันต้องมีคนดี ทำให้ทุกคนเป็นคนดีไม่ได้ แต่ต้องให้คนดีเป็นผู้ปกครอง ต้องให้คนดีเป็นผู้ที่จัดการ

วัดระดับของทาน ระดับของทาน ระดับของศีล ระดับของการภาวนา เวลาภาวนาขึ้นมา เราต้องฉลาดไปมากกว่านั้นนะ ดูสิ อย่าดูถูกความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าเขานิ่งอยู่เพราะอะไร เพราะพูดไปแล้วมันกระทบกระเทือน พูดไปแล้วมันจะมีปัญหา ท่านก็ไม่พูด ทั้งๆ ที่ท่านรู้ รู้ แต่ไม่พูด

ไอ้เราไม่รู้ ชอบพูดนะ ไอ้ไม่รู้นี่ชอบพูด ไอ้ที่เขารู้ เขาไม่พูด แต่ถ้าเขาจะพูดต่อเมื่อมีผู้ที่พูดแล้วมันจะเป็นประโยชน์ พูดแล้วเขาจะฟัง พูดแล้วมันเป็นประโยชน์ นี่เขาไม่พูดหรอก รู้แล้วก็ไม่พูด

โธ่! เวลาหลวงตาท่านฟังพระเทศน์นะ ท่านยิ้มๆ ยิ้มๆ ท่านไม่พูดหรอก ไม่พูดออกไป แต่ท่านรู้ รู้ทั้งนั้นน่ะ แต่ไม่พูด แต่ไอ้คนที่เทศน์อยู่น่ะไม่รู้ ไม่รู้ แต่มันเทศน์จ้อยๆๆ เลยนะ มันไม่รู้น่ะ เทศน์เก่งนัก ไอ้ที่รู้เขาฟังแล้วเขารู้หมดแหละ นี่สิ่งที่ความนิ่งอยู่ของพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าท่านนิ่งอยู่

นี่ก็เหมือนกัน เราต้องการให้งานมันผ่านพ้นไปๆ เรารู้ เรารู้ถึงความอึดอัดของคนทำงาน คนทำงานนี่อึดอัดนะ แต่การทำงาน ดูสิ ถ้าเราไม่รอบคอบ มันจะมีผลกระทบที่ว่าความซับซ้อนของการวิกฤตินั้น มันจะมีผลซับซ้อนแล้วแก้ไม่ตก แก้ไม่ตก แก้ไม่ได้ ถ้ามันจะแก้ตก มันต้องเห็นมองทะลุปรุโปร่ง แล้วแก้ต้องตก แก้อย่างนั้นไม่ให้ผลกระทบต่อหน้าไง แก้ตรงนี้ก็จบตรงนี้ ถ้าแก้ตรงนี้ ตรงนี้จบ มันไปกระทบข้างหน้า ไปกระทบต่อเนื่องๆ กระทบไปไม่มีวันจบวันสิ้น เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เราเห็นใจอยู่ เราสั่งเอง สั่งเอง แจก แจกให้หมด พอหมดไปแล้วเหลือเต็มเลย เราบอกว่าจบแล้ว ของนั้นหมดแล้ว เขาออดอ้อนใหญ่เลย เอาเด็กมาล่ออีก เพราะของมันยังมีอยู่ไง

เราบอกของนี้เอาไว้ให้ผู้ที่เขามาทำหน้าที่การงาน พวกบรรเทาสาธารณภัย เขาออกแรง เขาทำงาน พวกโยมไม่ได้ทำ พวกโยมไม่ได้ทำ

ถ้าพวกโยมเขาบอกเขาขาดเขาแคลน

ขาดแคลน โรงทานหน้าศาลาเยอะแยะเลย ขอเชิญ ขอเชิญไปหน้าศาลา โรงทานเราเยอะแยะเลย

นี่คุยกับเขาด้วยเหตุด้วยผล ทั้งๆ ที่เรานิ่งอยู่ๆ เขาผิดทั้งนั้นน่ะ แล้วมันก็เป็นของของเรา เป็นคนแจก แต่เราก็พูดไม่ให้สะเทือนใจ ไม่ให้สะเทือนน้ำใจของเขา เพราะวุฒิภาวะของจิตมันแตกต่างกัน คนที่แตกต่างกันนะ เขารู้ได้แค่นั้นว่าฉันทุกข์ฉันจน ต้องเห็นใจฉัน ถ้าไม่เห็นใจฉันนั่นคือการทุจริต นั่นคือความผิด...เขาคาดหมายไปนู่นเลย แต่ความจริงมันไม่ใช่

ความจริง กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ในเมื่อการกระทำทำมาสิ่งนี้แล้ว มันมีเวรมีกรรมแล้ว มันถึงทำให้คนคิดได้อย่างนั้น ถ้ากรรมมันจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน

“เราคนทุกข์คนจน เราเป็นคนที่ขาดแคลน ต้องเมตตา ต้องสงสารฉัน”

คำว่า “คนทุกข์คนจน เมตตาสงสารฉัน” มันก็ย้อนไปมหาชนก เห็นไหม เขาก็ตกน้ำ แต่เขามีความเพียรของเขา เขาขยันหมั่นเพียรของเขา นี่ก็เหมือนกัน เราคนทุกข์คนจนของเรา เราก็ขยันหมั่นเพียรของเรา เราก็ทำของเรา

เราเกิดมาเราเป็นญาติกันโดยธรรม เราเกิดมามีร่างกายและจิตใจเหมือนกัน เราเกิดมามีปากมีท้องเหมือนกัน เราต้องทำมาหากินเหมือนกัน คนที่เขาทำมาหากินของเขา เขามีสติปัญญาของเขา เขารักษาสมบัติของเขาด้วยวุฒิภาวะ ด้วยปัญญาของเขา การจะแสวงหามาแล้วรักษาไว้ รักษาไว้นะ สิ่งที่เหลือเป็นสมบัติของเรา การหามาคือปัจจัยเครื่องอาศัย นี่บอก “ฉันคนทุกข์คนจน” คนทุกข์คนจนเกิดมาก็มีร่างกาย มีจิตใจเหมือนกัน สิ่งที่มีค่าที่สุดคือชีวิตนี้ไง ถ้าชีวิตนี้แล้ว เราบากบั่น เราทำความเพียรของเรา

ไอ้นี่มันไม่ใช่ ไอ้นี่เห็นอย่างนี้แล้วก็จะมาทำทุจริต มันไม่ใช่ พอมันไม่ใช่ขึ้นมา มันจะทำให้ความเป็นมนุษย์ต่ำค่าลงไปเรื่อยๆ ฉะนั้น ความเป็นมนุษย์ เห็นไหม

เราบอกพระ พระที่มาหาเขาบอกว่าที่วัดเขา เขาจะสร้างนู่นสร้างนั่นน่ะ

เราบอกว่า สร้างแล้วเอ็งอย่าไปเรี่ยไรเขามาบำรุงรักษานะ เพราะว่าหลวงตาท่านสอน สอนถึงว่าสมบัติของพระคือศีลคือธรรม คือคุณธรรมในหัวใจเป็นสมบัติ สมบัติ ดูสิ เวลาเป็นสมบัติ พระอริยบุคคล โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ เขาก็มีคุณธรรมในใจเป็นสมบัติ สมบัติอันนั้นน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เราทุกข์เราจน เรามีวุฒิภาวะ มันมีคุณธรรม มีสติปัญญา มันขวนขวายได้ มันทำของมันได้ นี้คือประโยชน์ไง ถ้าประโยชน์ ฉะนั้น เขาว่า สิ่งที่ว่าจะให้คนมันลดน้อยลง มันเป็นไปไม่ได้ คนจะมากขึ้นเรื่อยๆ แต่การมากขึ้นมันไม่ใช่มากขึ้นแบบโลกๆ ไง มันมากขึ้น ไหนเขามาแล้วควรให้เขาประโยชน์ไง ถ้าเขามาแล้วนะ เขาเห็นความสงบสงัด เขาเห็นในสิ่งที่ดีงามนะ มันควรจะเป็นสิ่งที่เขาเรียกว่า ดูสิ เวลาเราเห็นสมณะ เห็นไหม สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ มันเป็นกุศลไง การเห็นสมณะมันเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง

นี่ก็เหมือนกัน ไปวัดไปวาแล้วมันควรจะได้ทัศนียภาพ ได้ทัศนคติที่ดีๆ ไป อันนี้จะเป็นคุณประโยชน์ ถ้าประโยชน์ ถ้าเขาได้ตรงนี้มันจะดีกว่าได้มาเอาอาหารถุงสองถุง มันแตกต่างกันมาก เพราะสิ่งที่เขาได้ทัศนคติที่ดีอย่างนี้มันจะเปลี่ยนแปลงเขา นี่คือวัดปฏิบัติไง วัดปฏิบัติเขาปฏิบัติกันที่ใจ ไม่ใช่ระดับของทาน ระดับของศีล ระดับของภาวนา วัดบ้าน วัดป่า วัดป่าต้องให้มันมีคุณธรรมจริงๆ วัดป่าไม่ใช่ป่าเถื่อน

เขาดูถูกดูแคลนกัน ความป่าเถื่อน คุยว่าวัดป่า แล้วใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา วัดป่าอย่างนั้นหรือ ถ้าวัดป่า คุณธรรมของสัตว์ป่า เห็นไหม ไก่ป่า ไก่บ้าน เวลาเป็นไก่ป่ามันต้องระวังตัวของมัน มันต้องหากินของมันด้วยธรรมชาติของมัน ไอ้ไก่ในกรง ไก่บ้าน อู๋ย! เขาเลี้ยงดูอย่างดี

ไก่บ้าน ไก่ป่า วัดป่า วัดบ้าน มันก็ต้องคุณสมบัติของมันต้องมี ถ้ามีแล้วมันก็เป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม

นี่พูดถึงเวลามีงานมาแล้ว เพราะปีนี้เราออกบริหารจัดการเองหมด ไปเห็นมาทุกๆ อย่าง พอเห็นทุกอย่างแล้วก็รวบยอดกลับมาว่า เพราะกฐินเรายังยกเลิกไม่ได้ เพราะคนจองไว้อีกหลายปี ฉะนั้น ถ้ายกเลิกไม่ได้ ปีหน้าจะต้องจัดระบบให้เข้มแข็งขึ้น ให้ดูแลขึ้น ให้เพื่อประโยชน์ขึ้น

เวลาทำงานไปแล้วย้อนกลับมา ฟังธรรมๆ ไง ทุกอย่างเป็นธรรม เหรียญมีสองด้าน ถ้ามองเป็นโลก มองแล้วจะทำลายมันก็ทำลาย แต่นี่ไม่ใช่ทำลาย ไอ้สิ่งนี้มันเป็นข้อเท็จจริงทั้งนั้นน่ะ มองแล้วเราจะพัฒนา มองแล้วเราจะจัดการ

อย่างที่ว่าน่ะ ถ้าเอ็งมาวัดให้ได้ทัศนียภาพ ถ้าเอ็งยังไม่มีวุฒิภาวะอะไรเลย ให้ได้ทัศนียภาพนั้นไป ถ้าเอ็งมีสติปัญญานะ เอ็งจะเข้าใจ แม้แต่เวลาคนที่เขามีวุฒิภาวะนะ เขาพยายามจะศึกษาว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้ชีวิตอย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีตัวตนจริงหรือเปล่า

มาวัดป่า มาดูครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราท่านใช้ชีวิตของท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน ความดำรงชีพอย่างนั้นน่ะ ความดำรงชีพแบบครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าได้ทัศนียภาพอย่างนั้นน่ะ มันจะเห็นว่าชีวิตนี้ ชีวิตของผู้ที่มีคุณธรรมในหัวใจทำอย่างไร

แล้วไอ้พวกเรามันขี้ครอก ใช้ชีวิตทางโลกทุกข์ๆ ยากๆ อยู่นี่ เราไปทัศนียภาพนั้นมันจะฝังใจ มนุษย์ทำได้หลากหลายนัก จิตนี้ทำได้หลากหลายนัก จิตนี้พัฒนาได้มากนัก ถ้ามันได้มากนักมันจะเป็นประโยชน์ไง

นี่พูดถึงว่าเราเห็นปัญหาแล้วให้มาเป็นปุ๋ย ให้มาเป็นการพัฒนา ให้มีสติมีปัญญาแยกแยะ มันเกิดขึ้นมันก็เกิดขึ้นนี่แหละ เราวางไว้ แต่ที่พูด พูดไว้ว่านี้มันเป็นสดๆ ร้อนๆ ไง เดี๋ยวมันจะลืมไป แล้วเวลาพูดเรื่องนี้มันจะนึกไม่ได้ ฉะนั้น เราพูดเพื่อความเป็นธรรม เอวัง